ตอนที่ 19 ความจริงของเรื่องราว
ยามค่ำคืน
เงาร่างหนึ่งมาที่เรือนไผ่อย่างลับๆ
“ท่านแม่ห้าเจ้าคะ มีผู้ใดเห็นหรือไม่” อวิ๋นซูมองสตรีที่ยามนี้สวมชุดคลุมสีดำพลางกล่าวถามเสียงเบา
อนุห้ายกยิ้มประดักประเดิด
“เรือนไผ่แห่งนี้มีถนนเล็กๆ สายหนึ่งที่หลายคนไม่รู้ ข้ามาจากเส้นทางนั้น”
ในจวนโหวมีเพียงนางที่เคยอาศัยอยู่ในเรือนไผ่
กระทั่งเหลยซื่อก็ไม่รู้จักถนนสายนั้น ในคืนที่ไม่มีแสงจันทร์ทั้งยังลมพัดแรงเช่นนี้
เกรงว่าจะถูกผู้คนพบเห็นได้ยากนัก
“ลูกหกคงรู้แล้วกระมังว่าใครเป็นผู้วางยา”
มิฉะนั้นเหตุใดจึงให้ตนมาหาดึกดื่นเพียงนี้
อวิ๋นซูส่ายหน้าเล็กน้อย
บนใบหน้าของนางปรากฏรอยยิ้มบางเบา มองไปยังอนุห้าตรงหน้าอย่างสงบ
อีกฝ่ายตกตะลึง
“หากลูกหกมีสิ่งใดต้องการทราบ ข้าจะต้องบอกเจ้าทุกอย่างแน่นอน
ครานี้หากไม่ใช่เพราะลูกหกเชื่อในตัวข้า เกรงว่าข้าคงหลงกลฮูหยินใหญ่ไปแล้ว”
“เรื่องนี้อาจไม่ใช่ท่านแม่ที่เป็นผู้กระทำเจ้าค่ะ”
แม้จะไม่ยินยอม ทว่าเข้าเมืองตาหลิ่วต้องหลิ่วตาตาม
ต่อหน้าผู้อื่นนางยังต้องเรียกภรรยาเอกท่านโหวว่าแม่
อนุห้าคิดจะถามอะไรบางอย่าง แต่อวิ๋นซูกลับตัดบท ในตอนที่ยังไม่มีหลักฐานนางยังไม่ต้องการให้คนอื่นรู้เรื่องนี้มากนัก เพียงหวังว่าจะสามารถเตือนสติอนุห้าได้ มิใช่ปักใจเชื่อว่าเป็นเหลยซื่อแล้วเลิกจับตามองผู้อื่น
“ที่อวิ๋นซูให้อี๋เหนียงมาหาเพราะเรื่องหนึ่งเจ้าค่ะ”
“อืม ลูกหกกล่าวมาเถิด”
ได้ยินน้ำเสียงจริงจังของอวิ๋นซูนางจึงรีบเก็บอารมณ์
“อี๋เหนียงเต็มใจจะเชื่ออวิ๋นซูหรือไม่เจ้าคะ?”
อนุห้ารู้สึกประหลาดใจ
ดรุณีน้อยตรงหน้าหยิบหมอนเล็กใบหนึ่งออกมาวางบนโต๊ะ “ได้ยินมาว่า
อี๋เหนียงแต่งเข้ามาจวนโหวได้หลายปีแล้ว…”
เพิ่งจะกล่าวออกมา
นางก็เข้าใจความหมายของอวิ๋นซู ใบหน้าปรากฏความโศกเศร้ายากปิดบัง
อดไม่ได้ที่จะกุมท้องของตนไว้ นัยน์ตาส่องประกายวาววับ
“อวิ๋นซูได้เรียนวิชาแพทย์จากท่านหมอในหมู่บ้านมาบ้าง
หากอี๋เหนียงไม่รังเกียจ…”
ทว่า
อนุห้ากลับถอนใจ “สามปีมานี้ข้าได้เชิญท่านหมอมาตรวจดูไม่น้อย
แต่ไม่มีผู้ใดสักคนที่มีวิธีรักษา บางทีอาจจะเป็นโชคชะตากระมัง”
การแท้งในครานั้นได้ทิ้งโรคเรื้อรังไว้ นางไม่หวังกับเรื่องนี้แล้ว
อวิ๋นซูกลับผลักหมอนเล็กใบนั้นเข้ามา
อนุห้ามองดวงตาที่เป็นมิตรของนาง แม้ใจจะไม่มีหวังอะไรมากมาย แต่ก็ไม่อยากทำลายความหวังดีของลูกหก
จึงยกมือขึ้นวางข้อมือลงบนหมอน
อวิ๋นซูจับชีพจรของนางเบาๆ
รู้สึกได้ว่าข้อมือของนางสั่นระริกเล็กน้อย บางทีอาจเป็นเพราะความเครียด
หรืออาจเป็นเพราะความกลัว
ทว่า
สีหน้าของดรุณีน้อยผู้นี้จริงจังขึ้น เนิ่นนานผ่านไปนางจึงเปิดปากกล่าวเสียงเรียบ
“อี๋เหนียงทราบหรือไม่ว่าชะมดเชียง [1] ไม่ดีต่อสตรีมีครรภ์”
“นี่…ข้าย่อมทราบ”
“เช่นนั้นเหตุใดท่านจึงได้ใช้ชะมดเชียงอบเสื้อผ้าเจ้าคะ”
ดูจากชีพจรของอนุห้าแล้ว ในร่างกายของนางแฝงไปด้วยยาสรรพคุณแรงชนิดหนึ่ง
ยาชนิดนี้สามารถใช้ได้กับผู้ที่ตั้งครรภ์ยาก หากวินิจฉัยจากชีพจรเพียงอย่างเดียวก็ไม่อาจมั่นใจได้ว่าเป็นยาชนิดใด
แต่อวิ๋นซูกลับพบได้อย่างรวดเร็ว บนร่างกายของอนุห้ามีกลิ่นหอมอยู่บางเบา
นางจึงทราบได้ทันทีว่าเป็นกลิ่นของชะมดเชียง
“ปะ เป็นไปได้อย่างไร!
ท่านโหวไม่ชอบเครื่องหอมที่ฉุนเกินไป ดังนั้นข้าจึงไม่เคยใช้เครื่องหอมอบผ้ามาก่อน
ยิ่งไม่ต้องพูดถึงชะมดเชียงเลย” อนุห้าตกตะลึงอย่างยิ่งยวด
นางรีบก้มหน้าสูดดมแขนเสื้อของตน อวิ๋นซูอยู่ใกล้ชิดสมุนไพรมาตั้งแต่เด็ก
ความรับรู้ต่อกลิ่นย่อมไวกว่าคนธรรมดา แต่อนุห้านั้นแยกแยะกลิ่นไม่ออก
คิดไปว่าเป็นกลิ่นสบู่หอมที่สาวใช้ใช้ซักเสื้อผ้า
“ตอนที่ท่านกลับไปก็ลองค้นหาในตู้เสื้อผ้าดูว่ามีของประเภทนี้อยู่หรือไม่
ตอนนี้อย่าเพิ่งแพร่งพรายออกไป หากมีคนแอบซ่อนชะมดเชียงไว้จริง
ก็คงมิอาจหาเจอได้ง่ายดายเช่นนั้น”
“ใครที่มันโหดเหี้ยมเช่นนี้
ข้าจะต้องฟ้องท่านโหว!”
“อี๋เหนียง ตอนนี้ยังไม่อาจให้ผู้อื่นรับรู้ได้เด็ดขาด
หนึ่ง พวกเราไม่มีหลักฐาน สอง หากหาตัวผู้อยู่เบื้องหลังไม่พบ
จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น
ไม่แน่ว่าสิ่งที่รอท่านอยู่อาจไม่ใช่ชะมดเชียงแล้วก็เป็นได้
สู้หาของสิ่งนี้อย่างลับๆ ให้คนที่อยู่เบื้องหลังคิดว่าท่านยังอยู่ในกำมือของนางจะดีกว่าเจ้าค่ะ”
ได้ยินคำพูดของอวิ๋นซู
อนุห้าจึงค่อยๆ สงบลง ใช่แล้ว หากไม่สามารถหาได้ว่าใครต้องการทำร้ายนาง
เช่นนั้นคนผู้นั้นก็ยังมีเป็นร้อยพันวิธีที่จะวางแผนเล่นงานตน
สู้แสร้งทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นไปก่อน เช่นนี้จึงจะปลอดภัย
ร่างกายของอนุห้าสั่นระริก
นางทราบมาตลอดว่าจวนโหวลึกล้ำดั่งมหาสมุทร
ป้องกันร้อยพันวิธีก็ยังมิอาจป้องกันคนโฉดชั่วพวกนั้นได้
นางกำมือของตนด้วยความไหวหวั่น
อวิ๋นซูปลอบใจนาง “ขอเพียงรีบหาของที่หายไปนั้นให้พบ และบำรุงให้มากๆ
ร่างกายของอี๋เหนียงก็ไม่มีปัญหาแล้วเจ้าค่ะ”
“จริงหรือ?” น้ำตาของนางไหลออกมาอย่างมิอาจระงับ
เดิมทีคิดว่าการไม่มีทายาทในชาตินี้จะเป็นโชคชะตาของนาง
ไม่คิดเลยว่าจะกลับกลายเป็นเช่นนี้…
“หากอี๋เหนียงเชื่ออวิ๋นซู…”
“ข้าเชื่อ! ข้าเชื่อ ขอบคุณลูกหก…”
นางกอดอวิ๋นซูเข้ามาในอ้อมอกอย่างสะเทือนอารมณ์ พยายามอย่างยิ่งยวดไม่ให้ตนเองร้องออกมา
คิดถึงลูกที่ไม่มีโอกาสได้ออกมาดูโลกของตน
คิดถึงความอ่อนโยนทะนุถนอมของท่านโหวในวันนั้น
ความใกล้ชิดก็ไม่ใช่ห่างเหินก็ไม่เชิงในวันนี้
ความอยุติธรรมอันไร้ขอบเขตและความไม่พอใจพลันล้นทะลักออกมา
ไม่ง่ายเลยกว่าจะส่งอนุห้ากลับไปได้
อารมณ์ของอวิ๋นซูดำดิ่งลงอย่างไม่อาจควบคุม นางเข้าใจความเจ็บปวดเช่นนั้นดี
เพราะลูกที่ไม่มีโอกาสได้เกิดมาของตน นางไม่สามารถให้อภัยสองคนนั้นได้ตลอดกาล
กระทั่งตอนนี้ ในความฝันของนางก็ยังได้ยินเสียงร้องไห้ของเด็กทารกอยู่
ไม่
นางไม่อาจรอต่อไปได้ ในเมื่อโอกาสไม่มาหา เช่นนั้นนางก็จะสร้างโอกาสขึ้นมาเอง!
แสงเทียนสาดส่องระเรื่อ
สำหรับคนบางคน ค่ำคืนนี้ถูกกำหนดไว้แล้วว่าเป็นค่ำคืนที่ยากจะข่มตานอน
…
วันต่อมา
อวิ๋นซูฝังเข็มระบายเลือดให้ฮูหยินผู้เฒ่าอีกครั้ง
เมื่อเก็บทุกอย่างเรียบร้อยแล้วฮูหยินผู้เฒ่าที่ฟื้นฟูกำลังขึ้นมาบ้างจึงเปิดปากกล่าวเสียงเรียบ
“ให้พวกนางเข้ามา”
ไม่มีใครคาดคิดว่าในช่วงนี้อวิ๋นซูจะคอยรักษาร่างกายของฮูหยินผู้เฒ่า
นางได้รับการบอกใบ้จากสายตาของฮูหยินผู้เฒ่า จึงถอยหลังไปอย่างสงบ
เมื่อประตูเรือนเปิดออกพบกว่าเหลยซื่อและหลิ่วอวิ๋นฮว๋ายืนอยู่ด้านนอก
สีหน้าของพวกนางทั้งสองพลันเปลี่ยนสี ปรากฏแววเหยียดหยามและไม่พอใจอยู่หลายส่วน
วันนี้เป็นวันที่สาม
หลิ่วอวิ๋นฮว๋าถึงกับออกมาแล้ว
“ท่านแม่” เหลยซื่อคารวะ
อีกฝ่ายตอบรับเสียงเย็นครั้งหนึ่ง
ส่วนหลิ่วอวิ๋นฮว๋าที่อยู่ด้านหลังมีแววรังเกียจปรากฏในดวงตาแวบหนึ่งแล้วหายไป
ก่อนแย้มยิ้มที่เจือความเย็นชาอยู่หลายส่วน “น้องหกลำบากแล้ว”
ถึงกับมาประจบฮูหยินผู้เฒ่าแต่เช้า นังแพศยานี่ช่างมีใจลำบากเสียจริง!
อวิ๋นซูยิ้มให้
แสร้งทำเป็นไม่ได้ยินน้ำเสียงเสียดสีของนาง สองแม่ลูกเดินผ่านตัวนางเข้าไปในเรือน
เมื่อปิดประตูลง
มีเสียงแว่วออกมาจากข้างใน
“ท่านแม่เจ้าคะ ตอนนี้คุณชายใหญ่กลับถึงเมืองแล้วเจ้าค่ะ”
***********************
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] ชะมดเชียง หรือ เสี่ยเฮียง เป็นยาที่ทำมาจากชะมด
โดยตรงส่วนท้องระหว่างสะดือกับรูหนังหุ้มอวัยวะเพศของชะมดเชียงตัวผู้
จะมีต่อมกลิ่นซ่อนอยู่ใต้ผิวหนัง เรียกว่า “ต่อมชะมดเชียง” ต่อมนี้มีลักษณะกลมรีคล้ายรูปไข่หรือครึ่งวงกลม
ตรงกลางของต่อมมีรูเล็กๆ รูหนึ่ง
สามารถขับสารที่มีลักษณะเป็นไขมันสีน้ำตาลที่มีกลิ่นหอมออกมา
สารจากต่อมกลิ่นนี้เองที่ใช้มาทำยาที่เรียก ชะมดเชียง
ใช้เป็นยามาตั้งแต่โบราณกาลแล้ว
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น