ตอนที่ 22 รัชทายาทแห่งแคว้นเฉิน
อวิ๋นซูไม่มีเวลาคิดอะไรให้มากความ
“ทางโน้นเจ้าค่ะ!” นางรีบพาบุรุษที่มีท่าทีค่อนข้างแปลกประหลาดผู้นั้นมุ่งตรงไปยังทิศทางของเฟิ่งหลิง
ทว่าตอนที่พวกเขามาถึง
บนพื้นกลับมีเพียงหมาในสองตัวนอนสิ้นชีพอยู่
ส่วนบุรุษนั่งอยู่ที่พื้นหญ้ากำลังใช้แถบผ้าพันข้อมือที่ได้รับบาดเจ็บของตน
“พี่สาม ท่านบาดเจ็บหรือ?!” หรือตนเองจะคาดหวังกับพี่สามของตนสูงเกินไป
ก็แค่หมาในสองตัวเท่านั้น
เฟิ่งหลิงไม่มองสายตาเหลือเชื่อของคุณชายสี่เลยแม้แต่น้อย
สายตากลับตกอยู่บนใบหน้าเล็กๆ ที่ดูเป็นกังวลของสตรีข้างกาย
ครู่หนึ่งจึงยิ้มตอบกลับไปเล็กน้อย
ชั่วขณะที่อวิ๋นซูเห็นเขาปลอดภัยไร้อันตราย
ใจก็พลันโล่งอก นางหอบหายใจเล็กน้อย
ก้มลงหยิบสมุนไพรออกมาจากตะกร้าไผ่ใส่เข้าไปในปากแล้วเคี้ยวครู่หนึ่ง
จากนั้นจึงโปะลงไปบนข้อมือของเขา
คนเป็นหมอมักมีจิตใจของบิดามารดา
นางไม่รู้สึกว่าการกระทำของตนจะมีอะไรไม่เหมาะสม
ทว่าบุรุษทั้งสองกลับตกตะลึงเล็กน้อย
พันแผลที่ข้อมือของเขาอย่างชำนาญจนเสร็จ อวิ๋นซูจึงเงยหน้าขึ้นมองท้องฟ้า “ขอบคุณคุณชายสามที่ช่วยเหลือเจ้าค่ะ แผลข่วนนี้แม้จะไม่รุนแรง แต่ภายในสามวันหากไม่ถูกน้ำจะดีที่สุด ท่านยังมีแผลถูกกัดที่ใดอีกหรือไม่เจ้าคะ?”
นางถามอย่างจริงจัง
ทั้งยังไม่มีความขัดเขินของหนุ่มสาวโดยสิ้นเชิง
เฟิ่งหลิงพลันคิดว่าในดวงตาสุกใสคู่นั้น
ความคร่ำครึของตนนับเป็นการดูถูกนางจึงยิ้มออกไปอย่างขอบคุณ “ไม่มี”
“เช่นนั้นก็ดีแล้ว เขี้ยวของหมาในมีพิษ
หากถูกกัดจนบาดเจ็บห้ามปิดบังเด็ดขาด มิฉะนั้นบาดแผลจะติดเชื้อได้ง่ายนะเจ้าคะ”
น้ำเสียงของนางสงบนิ่งยิ่งนัก
ทั้งยังแฝงไปด้วยความขอโทษอยู่จางๆ สายตาของเฟิ่งฉีมองสลับไปมาระหว่างคนทั้งสอง
นี่ตนเองพลาดอะไรที่สนุกสุดๆ ไปแล้วใช่หรือไม่?
ตอนนี้เอง
เสียงหนึ่งแว่วมาในหูของคนทั้งสาม พระลูกวัดคนหนึ่งวิ่งเข้ามาอย่างตื่นตระหนก “โธ่
คุณชายสามขอรับ ที่แท้ท่านก็อยู่ตรงนี้เอง! ฮูหยินผู้เฒ่าของท่านโหวไม่พบท่านจึงตกใจสั่งคนออกตามหาไปทั่วแล้วขอรับ”
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนชางติ้งโหวก็มาแล้วอย่างนั้นหรือ? อวิ๋นซูไม่ได้กล่าวอะไร
เพียงลุกขึ้นยืนแล้วกล่าวขอบคุณครั้งหนึ่ง แล้วจึงหันกายเดินจากไป
“คุณชายสามได้รับบาดเจ็บหรือขอรับ?!” เมื่อเห็นผ้าพันแผลบนข้อมือของเฟิ่งหลิง
พระลูกวัดพลันหน้าเปลี่ยนสี
เฟิ่งฉีจึงเล่าเรื่องที่มีสัตว์ดุร้ายหลุดออกมาจากสนามล่าสัตว์ให้เขาฟัง
“ในเมื่อยังมิอาจมั่นใจได้ว่ายังมีสัตว์ดุร้ายตัวอื่นอีกหรือไม่
ทางที่ดีให้คนในวัดออกมาตอนกลางคืนให้น้อยหน่อยแล้วกัน”
เฟิ่งหลิงลุกขึ้นยืน
สัมผัสได้ถึงมีดสั้นบริเวณเอว นี่เขาลืมคืนนางเสียแล้ว
อดไม่ได้ที่จะมองไปยังทิศทางที่อวิ๋นซูจากไป เฟิ่งฉีที่อยู่ข้างๆ
จึงรีบกล่าวออกมาอย่างนึกสนุก “พี่สาม คนก็เดินไปไกลแล้ว ท่านมองรอยเท้าหรือไร?”
เฟิ่งหลิงเลิกคิ้วเล็กน้อย
กล่าวเตือนเขาด้วยน้ำเสียงข่มขู่ “กระต่ายป่า…”
“เอ่อ ท่านย่าคอยนานแล้ว พวกเรารีบกลับไปเถิด
ฮ่าๆ” หากให้ท่านย่ารู้ว่าตนเองคิดจะกินเนื้อในช่วงสักการะพระพุทธ
เกรงว่าคงถูกบ่นจนตายเป็นแน่
…
เมื่อเข้าใกล้ห้องของฮูหยินผู้เฒ่าแห่งจวนชางติ้งโหว
ก็ได้ยินเสียงหัวเราะดังแว่วมาจากภายใน
“อวี่เอ๋อร์ คราวนี้กลับมาแล้วคงมิได้ไปเร็วเช่นนั้นอีกกระมัง?”
เฟิ่งหลิงและเฟิ่งฉีสบตากัน
พระลูกวัดเปิดประตูให้พวกเขา จริงดั่งคาด
บุรุษร่างสูงใหญ่กำยำสบเข้ากับสายตาของพวกเขา “น้องสาม! น้องสี่!”
“พี่ใหญ่”
เฟิ่งฉีส่งเสียงเรียก
แล้วจึงพาตัวเองเดินไปในมุมของตน ในหมู่พี่ชายน้องชายทั้งหลายเขาสนิทสนมกับเฟิ่งหลิงเพียงคนเดียวเท่านั้น
คุณชายใหญ่เห็นท่าทางเช่นนี้ของเขาก็แย้มยิ้มอย่างเคยชิน
แล้วจึงเดินตรงไปหาเฟิ่งหลิง “น้องสาม ร่างกายของเจ้าดีขึ้นบ้างแล้วหรือ?”
คิดไม่ถึงว่าพี่ใหญ่ก็มาที่วัดเทียนฝูด้วย
ยังดีที่เขาเพิ่งจะต่อสู้กับหมาในสองตัวนั้นจนเลือดไหล
สีหน้าในยามนี้จึงดูไม่ค่อยดีนัก
“ดีขึ้นมากแล้วขอรับ
เหตุใดคราวนี้ท่านจึงได้กลับมากะทันหันนัก?” เสียงของเขาฟังดูอ่อนแรง
สำหรับคนอื่นๆ แล้วก็อดไม่ได้ที่จะเป็นห่วงเขามากขึ้นหลายส่วน
“ข้ากับหลิ่วอวิ๋นเฟิงคุ้มกัน…เอ่อ”
เขาชะงักไปเล็กน้อย ทุกคนเข้าใจโดยพลันว่าคนที่เขากล่าวถึงคือผู้ใด
เฟิ่งอวี่และหลิ่วอวิ๋นเฟิงล้วนเป็นคนสนิทข้างกายรัชทายาท
เมื่องเดินทางกลับเมืองพวกเขาย่อมต้องติดตามอยู่ข้างกาย
คุณชายใหญ่แห่งจวนชางหรงโหวเองก็กลับมาแล้ว
เกรงว่าตอนนี้รัชทายาทคงอยู่ในวัดเทียนฝู
“วันพรุ่งนี้พวกเราต้องไปสนามล่าสัตว์ น้องสี่
เจ้าไปด้วยหรือไม่?” เฟิ่งอวี่ยิ้มพลางมองไปยังบุรุษที่มีสีหน้าเย็นชา
เฟิ่งฉีกลับทำเพียงมองเขาอย่างเรียบเฉย ท่าทางไม่สนใจ
ฮูหยินผู้เฒ่ายิ้ม
“น้องสี่ของเจ้ากลัวจะขายหน้าต่อหน้าองค์รัชทายาท อย่าไปบังคับเขาเลย”
“ท่านย่าขอรับ! ข้ากลัวขายหน้าที่ไหนกัน
ฝีมือยิงธนูของข้าก็เป็นหนึ่งเช่นกันนะขอรับ!” เฟิ่งฉีไม่ยินยอม
เขาเพียงแค่ไม่ชอบอยู่กับราชนิกุลเหล่านั้นก็เท่านั้น
เขาไม่ชอบเรื่องราวในท้องพระโรงมากนัก เนื่องจากเขาเกลียดการประจบสอพลอ
และยิ่งเกลียดท่าทางและคำพูดอันเสแสร้งของคนเหล่านั้น “พี่สาม ท่านคิดว่าอย่างไร?” สายตาราวกับกำลังกล่าวว่า
ให้รีบช่วยเขาลบล้างมลทินนี่เสีย
“อืม
กล่าวกันว่าฝีมือยิงธนูของรัชทายาททรงยอดเยี่ยมยิ่งนัก
ข้าว่าน้องสี่อย่าไปร่วมสนุกด้วยจะดีกว่า”
อะไรนะ?! เฟิ่งฉีพลันสบถออกมา กระทั่งพี่สามก็ยังดูเบา? เขาเชิดคางอย่างไม่พอใจ “พี่ใหญ่
วันพรุ่งก็อย่าหาว่าน้องสามอย่างข้าลงมือไม่ปรานีเล่า!”
เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา
ในห้องพลันเกิดเสียงหัวเราะดังขึ้น
“ใช่แล้ว พรุ่งนี้หลิงเอ๋อร์ก็จะมาด้วย”
ประโยคนี้ของฮูหยินผู้เฒ่าทำให้เฟิ่งฉีตกตะลึงจนคางแทบร่วง
ในใจเกิดลางสังหรณ์ที่ไม่ดีนัก การปรากฏตัวในทุกครั้งของน้องเจ็ดผู้นี้
มักจะนำพาปัญหาทั้งเล็กใหญ่มาด้วยเสมอ
สุดท้ายก็เป็นเขาที่ต้องไปเก็บกวาดความวุ่นวาย “อะไรนะขอรับ? ยัยเด็กปีศาจนั่นก็มาหรือ?!”
ท่าทางรังเกียจเสียเต็มประดาของเขา
ทำให้ทุกคนในห้องอดที่จะหัวเราะออกมาไม่ได้
…
“ท่านแม่เจ้าคะ พี่ใหญ่ยังไม่ส่งข่าวมาอีกหรือ?” หลิ่วอวิ๋นฮว๋านั่งอยู่ในห้องทั้งวัน
รู้สึกว่าวัดเทียนฝูช่างอุดอู้เหลือเกิน นอกจากจะต้องอ่านคัมภีร์เคาะมู่อวี๋ [1] เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าแล้ว
ยังต้องทนเห็นใบหน้าที่ทำให้ผู้คนเกลียดชังของหลิ่วอวิ๋นซูอีกด้วย หากต้องอยู่อีกหลายวันเกรงว่าตนเองคงจะรับไม่ไหว
เหลยซื่อแย้มยิ้มบาง
“พรุ่งนี้เจ้าก็สวมชุดทอกุหลาบแดงตัวนั้นเถิด”
เมื่อได้ยินคำนี้
หลิ่วอวิ๋นฮว๋าพลันกระตือรือร้นขึ้นมา “องค์รัชทายาทจะมาพรุ่งนี้แล้วหรือเจ้าคะ?!”
“พรุ่งนี้พี่ชายใหญ่ของลูกก็จะไปล่าสัตว์ที่สนามล่าสัตว์เป็นเพื่อนรัชทายาท
พวกเราก็หาเวลาเหมาะสมปรากฏตัวขึ้นเสีย
พี่ชายใหญ่ของลูกจะต้องให้เวลาลูกกับรัชทายาททำความคุ้นเคยกันแน่
จำที่แม่สอนเจ้าในยามปกติไว้ให้ดีเล่า
ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับการกระทำของลูกในวันพรุ่งนี้แล้ว!”
คำพูดนี้ทำให้หลิ่วอวิ๋นฮว๋าตื่นเต้นจนพูดไม่ออก
แรกเริ่มนางบ่นว่าอากาศบนภูเขานี้หนาวเย็นเกินไป ทำให้ใบหน้าของนางแห้งกร้าน
ตอนนี้กลับรีบยืนขึ้นมุ่งหน้าไปหาเครื่องประทินผิวกุหลาบที่ทำขึ้นจากในวังมาทาหน้าเสียแล้ว
ตอนที่ออกจากเรือนไปพบว่าเบื้องหน้ามีเงาร่างหนึ่งเดินผ่านไป
หลิ่วอวิ๋นฮว๋าอดไม่ได้ที่จะเดินไปข้างหน้า “น้องหก เจ้ากำลังทำอะไรอยู่หรือ?”
อวิ๋นซูประหลาดใจเล็กน้อย
หลายวันมานี้หลิ่วอวิ๋นฮว๋าไม่สนใจตนเอง
ตอนนี้ถึงกับยิ้มอย่างดีอกดีใจเช่นนี้เชียว
“ช่วยท่านย่าหยิบคัมภีร์เจ้าค่ะ”
“ฮึๆ ดี เช่นนั้นเจ้าก็ทำไปเถิด ใช่แล้ว
ชุดผ้าป่านตัวนี้เหมาะกับเจ้ามากเลยทีเดียว” นางเดินผ่านหน้าอวิ๋นซูด้วยสายตาหยามเหยียดและยโสอยู่หลายส่วน
มุมปากของนางอดไม่ได้ที่จะแย้มยิ้มออกมาอย่างสดใส นกกระจอก
ต่อให้พยายามเพียงใดก็มิอาจกลายเป็นหงส์ได้
ทว่าความฝันของหลิ่วอวิ๋นฮว๋าใกล้จะเป็นจริงแล้ว
วันนี้ตอนที่นางไปอ่านคัมภีร์เป็นเพื่อนฮูหยินผู้เฒ่าใบหน้ายังเจือแววโศกเศร้าคับแค้นใจ
มาตอนนี้ถึงกับ…อวิ๋นซูยิ่งรู้สึกราวกับว่าจะมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น
…
รัชทายาทแคว้นเฉินกำเนิดจากองค์ฮองเฮา
มีรูปโฉมหล่อเหล่าความสามารถปราดเปรื่องเหนือผู้คน ทั้งยังนิสัยสุขุมเยือกเย็น
เมื่อหลายปีก่อนแต่งกายปลอมตัวปิดบังฐานะออกท่องเที่ยวไปทั่วทุกพื้นที่
จากนั้นเสด็จไปยังชายแดนเพื่อเรียนรู้ชีวิตแบบทหาร
นับเป็นรัชทายาทต้นแบบเลยทีเดียว
และเป็นเพราะได้ใช้ชีวิตคลุกคลีกับเหล่าคุณชายจวนโหวทั้งหลายที่อายุใกล้เคียงกันจึงกลายเป็นสหายกันในที่สุด
บุรุษผู้มีรูปโฉมหล่อเหลาคมคายผู้หนึ่งเดินออกมาจากกระโจมที่ถูกสร้างขึ้นมาชั่วคราว
แววตาของเขาลึกล้ำ ร่างแกร่งยังคงไม่ลืมแย้มยิ้มสง่างาม
ชุดฮว๋าฝูสีเทาบนร่างยากที่จะสกัดกั้นกลิ่นอายชนชั้นสูงของเขา
ยามนี้ในมือถือธนูไว้คันหนึ่งคล้ายอยากลองยิงเสียเต็มประดา
“ฝ่าบาท น้องสี่ของกระหม่อมนิสัยป่าเถื่อนยิ่งนัก
อีกสักครู่หากเขาทำสิ่งใดขัดใจไปบ้างขอองค์รัชทายาทโปรดละเว้นด้วยพ่ะย่ะค่ะ”
เฟิ่งอวี่กล่าวไว้ก่อน อย่างไรเสียเขาก็เชื่อว่านิสัยเช่นรัชทายาทคงมิเก็บมาใส่ใจ
ตงฟางซวี่หัวเราะเบาๆ
เขากลับคิดอยากเห็นเสียหน่อยว่าคนจริงจังคร่ำครึเช่นเฟิ่งอวี่จะมีน้องสี่ที่ป่าเถื่อนอย่างไร
บุรุษรูปงามผู้หนึ่งเดินออกมาจากป่าอย่างระมัดระวัง
บนร่างเตรียมตัวมาอย่างพร้อมสรรพ
ให้ความรู้สึกว่าจะไม่แพ้ผู้ใดในการประลองที่จริงจังเช่นนี้
นี่เป็นครั้งแรกที่เฟิ่งฉีได้พบกับรัชทายาท
จึงเป็นธรรมดาที่จะเก็บอาการ เขาเดินเข้ามาคารวะอย่างเก้ๆ กังๆ อยู่บ้าง
“คารวะองค์รัชทายาทพ่ะย่ะค่ะ”
ไหนเลยจะรู้ว่าจู่ๆ
อีกฝ่ายจะใช้มือตบลงบนไหล่เขาแล้วหัวเราะฮ่าๆ ออกมา “ที่นี่ไม่มีรัชทายาทอะไรหรอก
หากเจ้าเต็มใจก็เรียกข้าเป็นพี่เป็นน้องเถิด
ว่ากันว่าคุณชายของจวนชางติ้งโหวทุกคนล้วนรูปงามไม่ธรรมดา วันนี้ได้มาเห็นนับว่าเป็นดั่งคำเล่าจริงๆ”
“ฝ่าบาทยังไม่เคยพบพี่สามของกระหม่อม
ในหมู่พวกกระหม่อมพี่น้องใครก็เทียบเขาไม่ได้”
ตงฟงซวี่เลิกคิ้วเล็กน้อย
“เขาไม่ได้อยู่ที่วัดเทียนฝูหรือ?”
“น้องสามร่างกายอ่อนแอ
หากไม่ใช่เพราะคราวนี้ท่านย่าต้องการพาเขาขึ้นเขามาขอพร ยามปกติก็จะไม่ออกจากจวนพ่ะย่ะค่ะ”
คำพูดของเฟิ่งอวี่ทำให้ตงฟางซวี่นึกถึงข่าวลือบางอย่างขึ้นมาได้
กล่าวกันว่าชางติ้งโหวรักถนอมบุตรชายคนที่สามคนนี้มากนัก
เพียงแต่น่าเสียดายที่วัยเด็กของเขาต้องใช้ชีวิตอยู่กับขวดยา
หากเป็นดั่งที่เฟิ่งอวี่กล่าวจริงๆ เช่นนั้นก็คงเป็นชายงามคนหนึ่ง
เฟิ่งฉีที่อยู่ข้างๆ
ประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด
รัชทายาทตรงหน้าไม่เหมือนกับที่เขาจินตนาการเลยแม้แต่น้อย
เมื่อเทียบกับราชนิกุลที่ยโสโอหังอวดเบ่งบารมีเหล่านั้นแล้ว
รัชทายาทช่างเข้าถึงได้ง่าย กระทั่งให้ความรู้สึกเชื่อถือที่ยากจะอธิบาย เขาพลันกระจ่างแจ้งแล้วว่าเหตุใดหลายปีก่อนพี่ใหญ่ถึงได้ตัดสินใจติดตามองค์รัชทายาท
ตั้งแต่ตอนที่ออกจากจวนก็ผ่านไปนานแล้ว
เดิมทียังคิดว่าพี่ใหญ่ต้องการอำนาจเฉกเช่นคนเหล่านั้น
แต่ตอนนี้เขาเริ่มเข้าใจขึ้นมาบ้างแล้ว
รัชทายาทจะต้องเถลิงถวัลย์เป็นจักรพรรดิในวันหน้า
เช่นนี้ก็ทำให้ผู้คนเต็มใจที่จะติดตามเขาแล้ว
บางทีอาจมีเพียงรัชทายาทคนเดียวที่เป็นของชั้นยอดที่ทำให้ผู้คนลืมเลือนทุกสิ่ง
หลิ่วอวิ๋นเฟิงจูงม้าสามสี่ตัวมาจากที่ไกลๆ
เขายิ้มให้เฟิ่งฉีน้อยๆ “คุณชายสี่ก็มาหรือ?”
อีกฝ่ายพยักหน้าตอบ
ทั้งสามกระโดดขึ้นม้า หลิ่วอวิ๋นเฟิงยิ้ม “วันนี้ผู้แพ้ ต้องเลี้ยงเหล้าสิบไห!”
สิบไห? เฟิ่งฉีตกตะลึง บุรุษสามคนนั้นพุ่งตัวออกไปแล้ว
ณ
ห้องพักทางทิศใต้ เสียงใสราวกับกระดิ่งดังขึ้น “พี่สาม…พี่สาม…”
คุณหนูเจ็ดเฟิ่งหลิงใช้เท้าถีบประตูห้องให้เปิดออกดังปัง
คิดไม่ถึงว่าคนที่ปรากฏในม่านสายตากลับเป็นสตรีชราที่ดูตื่นตกใจ “อา…ท่านย่า…”
******************
คำอธิบายเพิ่มเติม
[1] มู่อวี๋ (木鱼) แปลตรงตัวก็คือ
“ปลาไม้” เป็นเครื่องดนตรีทางสงฆ์ชนิดหนึ่ง ใช้ยามที่พระสงฆ์สวดมนต์ ทำวัตร
และประกอบพิธีกรรมทางศาสนา โดยจะมีไม้อีกอันหนึ่งเพื่อใช้เคาะบนมู่อวี๋เป็นจังหวะร่วมด้วย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น