ตอนที่ 31 ความจริงของเรื่องราว
ตงฟางซวี่ยิ้มบางๆ
แล้วนั่งลงข้างโต๊ะที่อวิ๋นซูเรียงขวดยาไว้เต็มไปหมด “อวิ๋นเฟิง
เจ้ามีความผิดอะไรหรือ”
ตอนนี้พวกเขารู้ว่ารัชทายาทพบเงื่อนงำแล้ว
เฟิ่งอวี่มีท่าทางอ่อนลง ตนเองนั้นไม่เห็นด้วยกับวีธีการของจวนชางหรงโหว แต่นั่นเป็นเรื่องของพวกเขา
คนนอกไม่อาจสอดมือเข้าไปยุ่งได้ แต่หากรัชทายาททรงสอบถามตนโดยตรง
ก็อาจจะไม่กระอักกระอ่วนเช่นตอนนี้
ไม่นึกเลยว่าจวนชางหรงโหวจะปฏิบัติต่อลูกอนุภรรยาเช่นนี้
เหตุใดบุตรีมีความสามารถเช่นคุณหนูหกจึงได้ถูกเก็บซ่อนเอาไว้
ตอนนี้เหลยซื่อสองแม่ลูกยืนอยู่นอกห้อง แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ดูเหมือนไม่ค่อยปกตินัก แต่ก็ไม่กล้าเดินปราดเข้าไปในห้อง
“กระหม่อมไม่ควรหลอกลวงพระองค์พ่ะย่ะค่ะ”
หลิ่วอวิ๋นเฟิงก้มหน้าลงทว่ากลับมีมือคู่หนึ่งยื่นมาประคองเขาขึ้นจากพื้น
“เจ้าหลอกลวงอะไรข้าหรือ ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย”
หากกล่าวตามจริง
ตงฟางซวี่ไม่ได้ถามพวกเขาโดยตรงว่าใครเป็นผู้ที่ช่วยรักษาตน
เพียงแต่เมื่อฟื้นขึ้นมา เขาก็ทราบเพียงว่าเป็นคุณหนูรองที่ดูแลเขาทั้งคืน
ไม่มีผู้ใดเคยพูดว่าใครเป็นคนรักษาแผลนี้ ดังนั้นจึงไม่นับว่าเป็นการหลอกลวง
หลิ่วอวิ๋นเฟิงจะรู้ได้อย่างไรว่ารัชทายาทมีเจตนาไม่สืบสวนเรื่องนี้
หรือรัชทายาทจะไม่ทราบถึงอุบายของมารดาของตน
“พี่ใหญ่ หากฝ่าบาทต้องการลงโทษ
ก็ควรจะลงโทษข้าถึงจะถูกต้องเจ้าค่ะ”
ตอนนี้เอง
สตรีที่เงียบมาตลอดเปิดปากกล่าวออกมา ทุกคนมองไปยังอวิ๋นซูอย่างประหลาดใจ
“พระวรกายของฝ่าบาทล้ำค่ายิ่งนัก
หม่อมฉันไม่ประมาณตน ขอฝ่าบาทโปรดประทานอภัยด้วยเพคะ
เดิมทีควรจะต้องตามหมอหลวงมาตรวจ แต่ยามนั้นสถานการณ์คับขัน
จึงจำเป็นต้องตัดสินใจเช่นนี้ ยังดีที่ฝ่าบาททรงมีพระวรกายแข็งแรง
อาการบาดเจ็บจึงดีขึ้น หม่อมฉันกลัวว่าจะถูกฝ่าบาทลงโทษ จึงคิดขอร้องให้พี่ใหญ่อย่าบอกเรื่องนี้กับพระองค์เพคะ”
อวิ๋นซูกล่าวเช่นนี้นับเป็นการนำความผิดทั้งหมดมากองไว้บนร่างของตน
ทุกคนอดไม่ได้ที่จะนำนางไปเปรียบเทียบกับหลิ่วอวิ๋นฮว๋า
เป็นคุณหนูแห่งจวนโหวเช่นเดียวกันแท้ๆ เหตุใดจึงได้ต่างกันมากมายเช่นนี้
คนหนึ่งพยายามแย่งชิงความดีความชอบมาเป็นของตน คนหนึ่งอ่อนน้อมถ่อมตนตลอดเวลา
หลิ่วอวิ๋นเฟิงไม่คิดว่าอวิ๋นซูจะช่วยพูดให้เขา
ตนเองทำเช่นนี้ช่างไม่ยุติธรรมกันนางเลยจริงๆ แต่นางก็ยังใจกว้างถึงเพียงนี้
ทำให้ในใจของเขารู้สึกอับอาย
ตงฟางซวี่พลันรู้สึกดีกับสตรีตรงหน้า
ตนเองมีความสามารถอยู่กับตัวแต่ไม่แสดงตน หาได้ยากยิ่ง
“คนของจวนชางหรงโหวมีความสามารถ
คุณหนูหกช่วยข้าไว้ จะมีความผิดได้อย่างไร” เขายื่นมือออกไปตบไหล่หลิ่วอวิ๋นเฟิง
คำพูดนี้มีความหมายลึกล้ำ และมีเพียงตัวเขาเองที่รู้
เฟิ่งหลิงที่อยู่ข้างๆ
มองแววตาของตงฟางซวี่ ความร้อนรนในใจยิ่งเพิ่มมากขึ้น แต่ไหนแต่ไรมีแต่เขาที่เห็นความพิเศษของนาง
ทว่าตอนนี้…
“ท่านแม่
ตอนนี้รัชทายาททรงทราบแล้วว่าเป็นอวิ๋นซูที่ช่วยพระองค์…”
เหลยซื่อที่อยู่ในห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากระวนกระวายจนไม่รู้จะพูดอะไรดี
“แล้วอย่างไรเล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าหลับตาลง
ท่าทางไม่สนใจไยดี “เจ้ากำลังตำหนิว่าข้าไม่ควรพาอวิ๋นซูมาด้วยงั้นหรือ”
“…ไม่ ไม่ใช่เจ้าค่ะ
เพียงแต่…วันหน้าอวิ๋นฮว๋าจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ”
เกรงว่ารัชทายาทจะจำเพียงบุญคุณที่อวิ๋นซูช่วยชีวิต
ไม่ใช่อวิ๋นฮว๋าที่ดูแลเขาทั้งคืน
“ทำอย่างไรหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเบนสายตาขึ้นช้าๆ
แววตานั้นทำให้เหลยซื่อตกตะลึง
ตอนนี้นางรู้สึกได้ว่าผู้หยินผู้เฒ่าไม่พอใจตนเองเป็นอย่างมาก
จึงไม่กล้าพูดอะไรให้มากความ
ภายในห้อง
หลิ่วอวิ๋นเฟิงกลับมาด้วยอารมณ์เบิกบาน
แต่กลับพบว่ากับท่านแม่และน้องรองนั่งอยู่ข้างโต๊ะด้วยใบหน้ามืดครึ้ม
“ท่านแม่ขอรับ น้องรอง พวกเจ้า…”
“รัชทายาททรงกล่าวอะไรบ้าง”
เหลยซื่อเปิดปากถามด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด
“ฝ่าบาททรงมีจิตใจกว้างขวาง
ไม่ได้ตำหนิพวกเราขอรับ”
“พระองค์ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเด็กนั่นหรือ”
หลิ่วอวิ๋นเฟิงประหลาดใจ
“เด็กไหนขอรับ”
“ยังจะมีใครอีก นังตัวโชคร้ายนั่นอย่างไร”
เหลยซื่อตบโต๊ะ ท่าทางโมโหจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันนั้นทำให้หลิ่วอวิ๋นเฟิงตกใจ
เขาไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของมารดามาก่อน
เขาไปจากจวนโหวหลายปีแล้ว ในความทรงจำของเขา
นางเป็นสตรีที่มีจิตใจงดงามกว้างขวางคนหนึ่ง
ทั้งยังปฏิบัติต่อเหล่าบุตรีและบุตรชายของอนุภรรยาในจวนโหวด้วยความเมตตา
ยามนี้สตรีตรงหน้าทำให้เขาเกิดความรู้สึกแปลกหน้า
ท่าทีของเขาจึงอ่อนลง ไม่ได้กล่าวอะไรอีก
เหลยซื่อเห็นท่าทีแปลกไปของบุตรชาย
จึงได้รู้ว่าตนเองเสียกิริยาไปแล้ว
นางมิอาจให้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกต้องพังลงเพราะตัวโชคร้ายผู้นั้นได้
นางสูดหายใจลึกๆ
ครั้งหนึ่ง “รัชทายาททรงกล่าวถึงน้องรองของเจ้าหรือไม่”
หลิ่วอวิ๋นเฟิงมองไปยังอวิ๋นฮว๋าครู่หนึ่ง
ความเงียบทำให้พวกนางเดาคำตอบได้
“พี่ใหญ่เจ้าคะ
คุณชาย…คุณชายสามของจวนชางติ้งโหวผู้นั้น…ก็มาด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ”
“อืม คนที่สวมชุดขาวก็คือคุณชายสาม”
ใบหน้างดงามเป็นเอกมิอาจสลัดออกไปจากความคิดของหลิ่วอวิ๋นฮว๋าได้เลย
เหลยซื่อมองท่าทีเช่นนี้ของบุตรี พลันต้องถอนใจ “อวิ๋นฮว๋า
คุณชายสามจะมาหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องของเจ้า”
หรือบุตรีของตนยังมิได้ตัดสินใจ
หากแต่งให้กับถังยาผู้นั้นก็ไม่ต้องพูดถึงอนาคตอะไรแล้ว
หลิ่วอวิ๋นฮว๋าพลันก้มหน้าลง
“บิดาของเจ้าจะกลับมาเมื่อไร”
หลิ่วอวิ๋นเฟิงคิดครู่หนึ่ง
“อีกไม่กี่วันท่านพ่อก็จะกลับมาจากชายแดนแล้วขอรับ”
“แล้วน้องสามของเจ้าเล่า”
“เขาอยู่ข้างกายท่านพ่อได้รับความลำบากไม่น้อย
เชื่อว่าเขาจะกลับมาโดยเร็วที่สุด” เมื่อคิดถึงน้องสามคนนี้
หลิ่วอวิ๋นเฟิงจึงยิ้มออกมาอย่างจนใจ
เหลยซื่อสูดหายใจลึก
“อวิ๋นเฟิง เจ้าต้องพูดเรื่องดีของน้องรองเจ้าต่อหน้ารัชทายาทให้มากเสียหน่อย
แล้วถามเรื่องวันคัดเลือกพระสนมอีกสักครั้ง”
หลิ่วอวิ๋นเฟิงมองอวิ๋นฮว๋าอย่างลึกล้ำ
ส่งเสียงตอบรับไปอย่างเรียบเฉย
เช้าตรู่วันต่อมา
อวิ๋นซูถูกดรุณีน้อยข้างกายปลุกให้ตื่น
เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นดรุณีน้อยที่กอดตนแน่นราวกับหมีโคอาล่า
นางยื่นมือออกไปเคลื่อนย้ายมือและเท้าของนางออกเบามือ
แล้วลงจากเตียงมาอย่างไร้สุ้มเสียง
ตั้งแต่เมื่อวานเฟิ่งหลิงก็ยิ่งติดนางมากขึ้น
จู่ๆ นางก็รู้สึกว่านิสัยของสตรีน้อยผู้นี้กับหลิ่วเฉิงซีมีความคล้ายกันอยู่บ้าง
หากพวกเขาได้รู้จักกัน อาจจะกลายเป็นเพื่อนสนิทกันก็เป็นได้
เปิดหน้าต่างออก
ลมเย็นพัดมาปะทะใบหน้าพากลิ่นดอกอวี้หลาน [1] โชยมาจางๆ
อวิ๋นซูก้มลงมองพบว่าตรงขอบหน้าต่างมีดอกอวี้หลานวางอยู่สองกิ่ง
ใครเอามาวางไว้ตรงนี้กัน
นางยื่นมือไปหยิบดอกไม้น่ารักสองดอกจ่อบริเวณจมูกแล้วสูดดมเข้าไป
ภาพที่ดูสงบเงียบนี้ตกอยู่ในสายตาอันลึกล้ำคู่หนึ่งในเงามืด
พลันกลายเป็นความอ่อนโยน
“พี่ซูเจ้าคะ ท่านตื่นแล้ว”
เสียงที่ฟังดูขี้เกียจของเฟิ่งหลิงดังขึ้นจากด้านหลัง
นางบิดขี้เกียจ ยิ้มกริ่มมองสตรีข้างหน้าต่าง
“อืม ยังเจ็บแผลอยู่หรือไม่”
ดรุณีน้อยขยับข้อเท้าของตน
“ไม่เจ็บแล้ว ต่อไปนี้หากว่าข้าบาดเจ็บ ข้าจะใช้แต่ยาของพี่ซู”
ปากพล่อยจริง
เหตุใดจึงคิดว่าวันหน้าจะบาดเจ็บอีกเล่า
“ฟ้ายังสว่างอยู่ ข้าจะออกไปเก็บสมุนไพรเสียหน่อย
คุณหนูเจ็ดนอนต่ออีกสักครู่เถิด”
เฟิ่งหลิงพลันรู้สึกขัดหู
“พี่ซู เรียกข้าว่าหลิงเอ๋อร์ดีหรือไม่ พี่สามก็เรียกข้าเช่นนี้”
“…หลิงเอ๋อร์”
“ดี หลิงเอ๋อร์จะนอนอีกสักครู่”
ดรุณีน้อยห่มผ้าห่มแล้วแอบยิ้มราวกับได้กินน้ำผึ้งหวานก็มิปาน
เมื่อเดินผ่านหน้าเรือนรัชทายาทก็พบกับสตรีผู้หนึ่งเดินตรงเข้ามาด้วยสีหน้าไม่น่าดูนัก
ดวงตาของหลิ่วอวิ๋นฮว๋าดูอิดโรย
ขอบตาก็ดำคล้ำ ดูเหมือนจะเกิดจากการที่เมื่อคืนนอนหลับไม่สบาย
เมื่อนางเห็นอวิ๋นซูก็พลันหยุดเดินรอให้อวิ๋นซูเดินเข้ามาใกล้
นางรู้สึกยากที่จะระงับอารมณ์ จึงเปิดเผยความเกลียดชังและความโกรธออกมา
อย่างไรก็ตาม
สตรีตรงหน้ากลับเดินเลี้ยวไปยังอีกทางหนึ่ง
“หยุดนะ”
อวิ๋นซูหยุดลงเล็กน้อย
หันมามองใบหน้าอันโกรธเคืองอย่างสงบ “ท่านพี่มีอะไรหรือเจ้าคะ”
รู้ทั้งรู้ยังจะแกล้งถามอีก
นางทนดูไม่ไหวแล้ว เด็กคนนี้ปกติมีท่าทางสุภาพอ่อนโยน แต่กลับชอบกระโดดมาทำให้เรื่องดีๆ
ของนางกลายเป็นแย่ หน้าไหว้หลังหลอก “อย่าคิดว่าฝ่าบาทรู้ว่าเจ้าช่วยพระองค์
แล้วเจ้าจะได้ติดปีกกลายเป็นหงส์เล่า อย่าลืมว่าข้าเป็นบุตรีภรรยาเอกแห่งจวนโหว
ส่วนเจ้าเป็นลูกอนุที่ไม่มีอะไรเลย เป็นแค่ตัวโชคร้ายที่ทุกคนทอดทิ้ง”
หลิ่วอวิ๋นฮว๋าด่ากราด
ราวกับต้องการเห็นอารมณ์อื่นบนใบหน้าของอวิ๋นซู
ไม่คิดว่าสตรีผู้นี้ฟังจบแล้วจะตอบกลับมาอย่างเรียบง่ายประโยคหนึ่ง
“ท่านพี่กล่าวได้ถูกต้อง”
“เจ้า…เจ้า…”
“ฝ่าบาทคงใกล้ตื่นบรรทมแล้ว
ท่านพี่ไม่ไปหรือเจ้าคะ”
คำพูดที่ดูราวกับไม่ใส่ใจของอวิ๋นซูทิ่มแทงใจของหลิ่วอวิ๋นฮว๋า
ตั้งแต่รัชทายาททรงทราบความจริงก็ปฏิเสธการดูแลของนางอย่างสุภาพ
หรือการที่นางอยู่เป็นเพื่อนสองวันนี้ยังมิอาจดึงดูดใจของฝ่าบาทได้
จะต้องเป็นนังนี่แน่นอน เป็นนางที่วางแผนอะไรอยู่แน่
อวิ๋นซูเดินตรงไปในป่า
ไม่สนใจนางอีก
นางย่อมไม่อาจบอกผู้อื่นได้ว่า
ความจริงนางตั้งใจให้รัชทายาทรู้ว่าตนเป็นผู้ที่ช่วยเขาคนนั้น
หากต้องการจะปิดบังก็มีวิธีการมากมาย แต่นางกลับช่วยคนต่อหน้ารัชทายาท
ไท่จื่อเฟยหรือ
นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ เป้าหมายของนางมีเพียงสิ่งเดียว
นั่นก็คือแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างของตนคืนมาจากผู้สูงศักดิ์สองคนนั่น
หากไม่พึ่งโชคของหลิ่วอวิ๋นฮว๋า โอกาสนี้จะได้มาอย่างไรกัน
บุรุษผู้อยู่ในเงามืดเห็นทั้งหมด
สายตาเย็นชามองไปยังหลิ่วอวิ๋นฮว๋าที่เดินกระฟัดกระเฟียดไปอย่างโกรธแค้น
หรือว่าอวิ๋นซูจะใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้มาตลอด คำว่าตัวโชคร้ายนั่นหมายความว่าอย่างไร
ไม่นานก็ต้องไปแล้ว
เมื่อคิดว่าจะไม่สามารถเห็นใบหน้างดงามสงบนิ่งนั้นได้บ่อยๆ
ใจของเฟิ่งหลิงก็รู้สึดโดดเดี่ยว
อวิ๋นซูที่นั่งยองอยู่กับพื้นรู้สึกราวกับว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองมาที่ตนเอง
นางยืนขึ้นหันมองไปก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้บริเวณไม่ไกล
ในดวงตาของเขาฉายแววแแปลกประหลาด
เพียงพริบตาเดียวเฟิ่งหลิงก็มาถึงเบื้องหน้านางแล้ว
“คุณหนูหก ข้ามาบอกลาเจ้า”
บอกลา
“รถม้ามารออยู่ที่ตีนเขาแล้ว หลิงเอ๋อร์ไม่ยอมไป
เมื่อครู่จึงถูกน้องสี่ของข้าบังคับอุ้มเอาตัวไปแล้ว
เพียงแต่ไม่ระวังจึงทำให้ผ้าคลุมเตียงของคุณหนูหกขาด”
“…” อวิ๋นซูจินตนาการได้ถึงภาพอันคึกคักวุ่นวาย
ใบหน้าจึงปรากฏรอยยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว
เฟิ่งหลิงมองใบหน้าที่มีอยู่จริงทว่าดูห่างไกลตรงหน้า
เนิ่นนานกว่าจะเปิดปากกล่าว “คุณหนูหกรังเกียจข้าหรือ?” มิฉะนั้นเหตุใดตนเองจึงมักจะรู้สึกได้ถึงความห่างเหินจากสายตาของนาง
อวิ๋นซูประหลาดใจ
ความรู้สึกของบุรุษผู้นี้ว่องไวเฉียบคมเช่นนี้เชียว หากจะกล่าวว่ารังเกียจ
มิสู้กล่าวว่านางรู้สึกกีดกันบุรุษที่มีหน้าตาโดดเด่นทุกคนจะดีกว่า
ไม่รอนางตอบ
เฟิ่งหลิงก็ยกยิ้มที่น่าหลงใหล “แต่จะอย่างไร พวกเราจะได้เจอกันอีกในเร็ววันนี้”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น