adsen

วันอังคารที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2566

หมอพิษชั่นหนึ่ง ตอนที่ 31 ความจริงของเรื่องราว

 

ตอนที่ 31 ความจริงของเรื่องราว

ตงฟางซวี่ยิ้มบางๆ แล้วนั่งลงข้างโต๊ะที่อวิ๋นซูเรียงขวดยาไว้เต็มไปหมด “อวิ๋นเฟิง เจ้ามีความผิดอะไรหรือ”

ตอนนี้พวกเขารู้ว่ารัชทายาทพบเงื่อนงำแล้ว เฟิ่งอวี่มีท่าทางอ่อนลง ตนเองนั้นไม่เห็นด้วยกับวีธีการของจวนชางหรงโหว แต่นั่นเป็นเรื่องของพวกเขา คนนอกไม่อาจสอดมือเข้าไปยุ่งได้ แต่หากรัชทายาททรงสอบถามตนโดยตรง ก็อาจจะไม่กระอักกระอ่วนเช่นตอนนี้

ไม่นึกเลยว่าจวนชางหรงโหวจะปฏิบัติต่อลูกอนุภรรยาเช่นนี้ เหตุใดบุตรีมีความสามารถเช่นคุณหนูหกจึงได้ถูกเก็บซ่อนเอาไว้

ตอนนี้เหลยซื่อสองแม่ลูกยืนอยู่นอกห้อง แม้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตอนนี้ดูเหมือนไม่ค่อยปกตินัก แต่ก็ไม่กล้าเดินปราดเข้าไปในห้อง

กระหม่อมไม่ควรหลอกลวงพระองค์พ่ะย่ะค่ะ” หลิ่วอวิ๋นเฟิงก้มหน้าลงทว่ากลับมีมือคู่หนึ่งยื่นมาประคองเขาขึ้นจากพื้น “เจ้าหลอกลวงอะไรข้าหรือ ข้ายังไม่ได้พูดอะไรเลย”

หากกล่าวตามจริง ตงฟางซวี่ไม่ได้ถามพวกเขาโดยตรงว่าใครเป็นผู้ที่ช่วยรักษาตน เพียงแต่เมื่อฟื้นขึ้นมา เขาก็ทราบเพียงว่าเป็นคุณหนูรองที่ดูแลเขาทั้งคืน ไม่มีผู้ใดเคยพูดว่าใครเป็นคนรักษาแผลนี้ ดังนั้นจึงไม่นับว่าเป็นการหลอกลวง

หลิ่วอวิ๋นเฟิงจะรู้ได้อย่างไรว่ารัชทายาทมีเจตนาไม่สืบสวนเรื่องนี้ หรือรัชทายาทจะไม่ทราบถึงอุบายของมารดาของตน

พี่ใหญ่ หากฝ่าบาทต้องการลงโทษ ก็ควรจะลงโทษข้าถึงจะถูกต้องเจ้าค่ะ”

ตอนนี้เอง สตรีที่เงียบมาตลอดเปิดปากกล่าวออกมา ทุกคนมองไปยังอวิ๋นซูอย่างประหลาดใจ

พระวรกายของฝ่าบาทล้ำค่ายิ่งนัก หม่อมฉันไม่ประมาณตน ขอฝ่าบาทโปรดประทานอภัยด้วยเพคะ เดิมทีควรจะต้องตามหมอหลวงมาตรวจ แต่ยามนั้นสถานการณ์คับขัน จึงจำเป็นต้องตัดสินใจเช่นนี้ ยังดีที่ฝ่าบาททรงมีพระวรกายแข็งแรง อาการบาดเจ็บจึงดีขึ้น หม่อมฉันกลัวว่าจะถูกฝ่าบาทลงโทษ จึงคิดขอร้องให้พี่ใหญ่อย่าบอกเรื่องนี้กับพระองค์เพคะ”

อวิ๋นซูกล่าวเช่นนี้นับเป็นการนำความผิดทั้งหมดมากองไว้บนร่างของตน ทุกคนอดไม่ได้ที่จะนำนางไปเปรียบเทียบกับหลิ่วอวิ๋นฮว๋า เป็นคุณหนูแห่งจวนโหวเช่นเดียวกันแท้ๆ เหตุใดจึงได้ต่างกันมากมายเช่นนี้ คนหนึ่งพยายามแย่งชิงความดีความชอบมาเป็นของตน คนหนึ่งอ่อนน้อมถ่อมตนตลอดเวลา

หลิ่วอวิ๋นเฟิงไม่คิดว่าอวิ๋นซูจะช่วยพูดให้เขา ตนเองทำเช่นนี้ช่างไม่ยุติธรรมกันนางเลยจริงๆ แต่นางก็ยังใจกว้างถึงเพียงนี้ ทำให้ในใจของเขารู้สึกอับอาย

ตงฟางซวี่พลันรู้สึกดีกับสตรีตรงหน้า ตนเองมีความสามารถอยู่กับตัวแต่ไม่แสดงตน หาได้ยากยิ่ง

คนของจวนชางหรงโหวมีความสามารถ คุณหนูหกช่วยข้าไว้ จะมีความผิดได้อย่างไร” เขายื่นมือออกไปตบไหล่หลิ่วอวิ๋นเฟิง คำพูดนี้มีความหมายลึกล้ำ และมีเพียงตัวเขาเองที่รู้

เฟิ่งหลิงที่อยู่ข้างๆ มองแววตาของตงฟางซวี่ ความร้อนรนในใจยิ่งเพิ่มมากขึ้น แต่ไหนแต่ไรมีแต่เขาที่เห็นความพิเศษของนาง ทว่าตอนนี้…

ท่านแม่ ตอนนี้รัชทายาททรงทราบแล้วว่าเป็นอวิ๋นซูที่ช่วยพระองค์…” เหลยซื่อที่อยู่ในห้องของฮูหยินผู้เฒ่ากระวนกระวายจนไม่รู้จะพูดอะไรดี

แล้วอย่างไรเล่า” ฮูหยินผู้เฒ่าหลับตาลง ท่าทางไม่สนใจไยดี “เจ้ากำลังตำหนิว่าข้าไม่ควรพาอวิ๋นซูมาด้วยงั้นหรือ”

“…ไม่ ไม่ใช่เจ้าค่ะ เพียงแต่…วันหน้าอวิ๋นฮว๋าจะทำอย่างไรดีเจ้าคะ” เกรงว่ารัชทายาทจะจำเพียงบุญคุณที่อวิ๋นซูช่วยชีวิต ไม่ใช่อวิ๋นฮว๋าที่ดูแลเขาทั้งคืน

ทำอย่างไรหรือ” ฮูหยินผู้เฒ่าเบนสายตาขึ้นช้าๆ แววตานั้นทำให้เหลยซื่อตกตะลึง ตอนนี้นางรู้สึกได้ว่าผู้หยินผู้เฒ่าไม่พอใจตนเองเป็นอย่างมาก จึงไม่กล้าพูดอะไรให้มากความ

ภายในห้อง

หลิ่วอวิ๋นเฟิงกลับมาด้วยอารมณ์เบิกบาน แต่กลับพบว่ากับท่านแม่และน้องรองนั่งอยู่ข้างโต๊ะด้วยใบหน้ามืดครึ้ม

ท่านแม่ขอรับ น้องรอง พวกเจ้า…”

รัชทายาททรงกล่าวอะไรบ้าง” เหลยซื่อเปิดปากถามด้วยอารมณ์ที่ไม่ดีอย่างเห็นได้ชัด

ฝ่าบาททรงมีจิตใจกว้างขวาง ไม่ได้ตำหนิพวกเราขอรับ”

พระองค์ไม่ได้พูดอะไรเกี่ยวกับเด็กนั่นหรือ”

หลิ่วอวิ๋นเฟิงประหลาดใจ “เด็กไหนขอรับ”

ยังจะมีใครอีก นังตัวโชคร้ายนั่นอย่างไร” เหลยซื่อตบโต๊ะ ท่าทางโมโหจนขบเขี้ยวเคี้ยวฟันนั้นทำให้หลิ่วอวิ๋นเฟิงตกใจ

เขาไม่เคยเห็นท่าทางเช่นนี้ของมารดามาก่อน เขาไปจากจวนโหวหลายปีแล้ว ในความทรงจำของเขา นางเป็นสตรีที่มีจิตใจงดงามกว้างขวางคนหนึ่ง ทั้งยังปฏิบัติต่อเหล่าบุตรีและบุตรชายของอนุภรรยาในจวนโหวด้วยความเมตตา

ยามนี้สตรีตรงหน้าทำให้เขาเกิดความรู้สึกแปลกหน้า ท่าทีของเขาจึงอ่อนลง ไม่ได้กล่าวอะไรอีก

เหลยซื่อเห็นท่าทีแปลกไปของบุตรชาย จึงได้รู้ว่าตนเองเสียกิริยาไปแล้ว นางมิอาจให้ความสัมพันธ์ระหว่างแม่ลูกต้องพังลงเพราะตัวโชคร้ายผู้นั้นได้

นางสูดหายใจลึกๆ ครั้งหนึ่ง “รัชทายาททรงกล่าวถึงน้องรองของเจ้าหรือไม่”

หลิ่วอวิ๋นเฟิงมองไปยังอวิ๋นฮว๋าครู่หนึ่ง ความเงียบทำให้พวกนางเดาคำตอบได้

พี่ใหญ่เจ้าคะ คุณชาย…คุณชายสามของจวนชางติ้งโหวผู้นั้น…ก็มาด้วยใช่หรือไม่เจ้าคะ”

อืม คนที่สวมชุดขาวก็คือคุณชายสาม”

ใบหน้างดงามเป็นเอกมิอาจสลัดออกไปจากความคิดของหลิ่วอวิ๋นฮว๋าได้เลย เหลยซื่อมองท่าทีเช่นนี้ของบุตรี พลันต้องถอนใจ “อวิ๋นฮว๋า คุณชายสามจะมาหรือไม่ก็ไม่เกี่ยวกับเรื่องของเจ้า”

หรือบุตรีของตนยังมิได้ตัดสินใจ หากแต่งให้กับถังยาผู้นั้นก็ไม่ต้องพูดถึงอนาคตอะไรแล้ว หลิ่วอวิ๋นฮว๋าพลันก้มหน้าลง

บิดาของเจ้าจะกลับมาเมื่อไร”

หลิ่วอวิ๋นเฟิงคิดครู่หนึ่ง “อีกไม่กี่วันท่านพ่อก็จะกลับมาจากชายแดนแล้วขอรับ”

แล้วน้องสามของเจ้าเล่า”

เขาอยู่ข้างกายท่านพ่อได้รับความลำบากไม่น้อย เชื่อว่าเขาจะกลับมาโดยเร็วที่สุด” เมื่อคิดถึงน้องสามคนนี้ หลิ่วอวิ๋นเฟิงจึงยิ้มออกมาอย่างจนใจ

เหลยซื่อสูดหายใจลึก “อวิ๋นเฟิง เจ้าต้องพูดเรื่องดีของน้องรองเจ้าต่อหน้ารัชทายาทให้มากเสียหน่อย แล้วถามเรื่องวันคัดเลือกพระสนมอีกสักครั้ง”

หลิ่วอวิ๋นเฟิงมองอวิ๋นฮว๋าอย่างลึกล้ำ ส่งเสียงตอบรับไปอย่างเรียบเฉย

เช้าตรู่วันต่อมา อวิ๋นซูถูกดรุณีน้อยข้างกายปลุกให้ตื่น เมื่อลืมตาขึ้นก็เห็นดรุณีน้อยที่กอดตนแน่นราวกับหมีโคอาล่า นางยื่นมือออกไปเคลื่อนย้ายมือและเท้าของนางออกเบามือ แล้วลงจากเตียงมาอย่างไร้สุ้มเสียง

ตั้งแต่เมื่อวานเฟิ่งหลิงก็ยิ่งติดนางมากขึ้น จู่ๆ นางก็รู้สึกว่านิสัยของสตรีน้อยผู้นี้กับหลิ่วเฉิงซีมีความคล้ายกันอยู่บ้าง หากพวกเขาได้รู้จักกัน อาจจะกลายเป็นเพื่อนสนิทกันก็เป็นได้

เปิดหน้าต่างออก ลมเย็นพัดมาปะทะใบหน้าพากลิ่นดอกอวี้หลาน [1] โชยมาจางๆ อวิ๋นซูก้มลงมองพบว่าตรงขอบหน้าต่างมีดอกอวี้หลานวางอยู่สองกิ่ง

ใครเอามาวางไว้ตรงนี้กัน นางยื่นมือไปหยิบดอกไม้น่ารักสองดอกจ่อบริเวณจมูกแล้วสูดดมเข้าไป ภาพที่ดูสงบเงียบนี้ตกอยู่ในสายตาอันลึกล้ำคู่หนึ่งในเงามืด พลันกลายเป็นความอ่อนโยน

พี่ซูเจ้าคะ ท่านตื่นแล้ว”

เสียงที่ฟังดูขี้เกียจของเฟิ่งหลิงดังขึ้นจากด้านหลัง นางบิดขี้เกียจ ยิ้มกริ่มมองสตรีข้างหน้าต่าง

อืม ยังเจ็บแผลอยู่หรือไม่”

ดรุณีน้อยขยับข้อเท้าของตน “ไม่เจ็บแล้ว ต่อไปนี้หากว่าข้าบาดเจ็บ ข้าจะใช้แต่ยาของพี่ซู”

ปากพล่อยจริง เหตุใดจึงคิดว่าวันหน้าจะบาดเจ็บอีกเล่า

ฟ้ายังสว่างอยู่ ข้าจะออกไปเก็บสมุนไพรเสียหน่อย คุณหนูเจ็ดนอนต่ออีกสักครู่เถิด”

เฟิ่งหลิงพลันรู้สึกขัดหู “พี่ซู เรียกข้าว่าหลิงเอ๋อร์ดีหรือไม่ พี่สามก็เรียกข้าเช่นนี้”

“…หลิงเอ๋อร์”

ดี หลิงเอ๋อร์จะนอนอีกสักครู่” ดรุณีน้อยห่มผ้าห่มแล้วแอบยิ้มราวกับได้กินน้ำผึ้งหวานก็มิปาน

เมื่อเดินผ่านหน้าเรือนรัชทายาทก็พบกับสตรีผู้หนึ่งเดินตรงเข้ามาด้วยสีหน้าไม่น่าดูนัก

ดวงตาของหลิ่วอวิ๋นฮว๋าดูอิดโรย ขอบตาก็ดำคล้ำ ดูเหมือนจะเกิดจากการที่เมื่อคืนนอนหลับไม่สบาย เมื่อนางเห็นอวิ๋นซูก็พลันหยุดเดินรอให้อวิ๋นซูเดินเข้ามาใกล้ นางรู้สึกยากที่จะระงับอารมณ์ จึงเปิดเผยความเกลียดชังและความโกรธออกมา

อย่างไรก็ตาม สตรีตรงหน้ากลับเดินเลี้ยวไปยังอีกทางหนึ่ง

หยุดนะ”

อวิ๋นซูหยุดลงเล็กน้อย หันมามองใบหน้าอันโกรธเคืองอย่างสงบ “ท่านพี่มีอะไรหรือเจ้าคะ”

รู้ทั้งรู้ยังจะแกล้งถามอีก นางทนดูไม่ไหวแล้ว เด็กคนนี้ปกติมีท่าทางสุภาพอ่อนโยน แต่กลับชอบกระโดดมาทำให้เรื่องดีๆ ของนางกลายเป็นแย่ หน้าไหว้หลังหลอก “อย่าคิดว่าฝ่าบาทรู้ว่าเจ้าช่วยพระองค์ แล้วเจ้าจะได้ติดปีกกลายเป็นหงส์เล่า อย่าลืมว่าข้าเป็นบุตรีภรรยาเอกแห่งจวนโหว ส่วนเจ้าเป็นลูกอนุที่ไม่มีอะไรเลย เป็นแค่ตัวโชคร้ายที่ทุกคนทอดทิ้ง”

หลิ่วอวิ๋นฮว๋าด่ากราด ราวกับต้องการเห็นอารมณ์อื่นบนใบหน้าของอวิ๋นซู ไม่คิดว่าสตรีผู้นี้ฟังจบแล้วจะตอบกลับมาอย่างเรียบง่ายประโยคหนึ่ง “ท่านพี่กล่าวได้ถูกต้อง”

เจ้า…เจ้า…”

ฝ่าบาทคงใกล้ตื่นบรรทมแล้ว ท่านพี่ไม่ไปหรือเจ้าคะ”

คำพูดที่ดูราวกับไม่ใส่ใจของอวิ๋นซูทิ่มแทงใจของหลิ่วอวิ๋นฮว๋า ตั้งแต่รัชทายาททรงทราบความจริงก็ปฏิเสธการดูแลของนางอย่างสุภาพ หรือการที่นางอยู่เป็นเพื่อนสองวันนี้ยังมิอาจดึงดูดใจของฝ่าบาทได้ จะต้องเป็นนังนี่แน่นอน เป็นนางที่วางแผนอะไรอยู่แน่

อวิ๋นซูเดินตรงไปในป่า ไม่สนใจนางอีก

นางย่อมไม่อาจบอกผู้อื่นได้ว่า ความจริงนางตั้งใจให้รัชทายาทรู้ว่าตนเป็นผู้ที่ช่วยเขาคนนั้น หากต้องการจะปิดบังก็มีวิธีการมากมาย แต่นางกลับช่วยคนต่อหน้ารัชทายาท

ไท่จื่อเฟยหรือ นี่ไม่ใช่สิ่งที่นางต้องการ เป้าหมายของนางมีเพียงสิ่งเดียว นั่นก็คือแย่งชิงทุกสิ่งทุกอย่างของตนคืนมาจากผู้สูงศักดิ์สองคนนั่น หากไม่พึ่งโชคของหลิ่วอวิ๋นฮว๋า โอกาสนี้จะได้มาอย่างไรกัน

บุรุษผู้อยู่ในเงามืดเห็นทั้งหมด สายตาเย็นชามองไปยังหลิ่วอวิ๋นฮว๋าที่เดินกระฟัดกระเฟียดไปอย่างโกรธแค้น หรือว่าอวิ๋นซูจะใช้ชีวิตอยู่ในสภาพแวดล้อมเช่นนี้มาตลอด คำว่าตัวโชคร้ายนั่นหมายความว่าอย่างไร

ไม่นานก็ต้องไปแล้ว เมื่อคิดว่าจะไม่สามารถเห็นใบหน้างดงามสงบนิ่งนั้นได้บ่อยๆ ใจของเฟิ่งหลิงก็รู้สึดโดดเดี่ยว

อวิ๋นซูที่นั่งยองอยู่กับพื้นรู้สึกราวกับว่ามีสายตาคู่หนึ่งมองมาที่ตนเอง นางยืนขึ้นหันมองไปก็เห็นบุรุษผู้หนึ่งยืนอยู่ใต้ต้นไม้บริเวณไม่ไกล

ในดวงตาของเขาฉายแววแแปลกประหลาด เพียงพริบตาเดียวเฟิ่งหลิงก็มาถึงเบื้องหน้านางแล้ว

คุณหนูหก ข้ามาบอกลาเจ้า”

บอกลา

รถม้ามารออยู่ที่ตีนเขาแล้ว หลิงเอ๋อร์ไม่ยอมไป เมื่อครู่จึงถูกน้องสี่ของข้าบังคับอุ้มเอาตัวไปแล้ว เพียงแต่ไม่ระวังจึงทำให้ผ้าคลุมเตียงของคุณหนูหกขาด”

“…” อวิ๋นซูจินตนาการได้ถึงภาพอันคึกคักวุ่นวาย ใบหน้าจึงปรากฏรอยยิ้มขึ้นโดยไม่รู้ตัว

เฟิ่งหลิงมองใบหน้าที่มีอยู่จริงทว่าดูห่างไกลตรงหน้า เนิ่นนานกว่าจะเปิดปากกล่าว “คุณหนูหกรังเกียจข้าหรือ?” มิฉะนั้นเหตุใดตนเองจึงมักจะรู้สึกได้ถึงความห่างเหินจากสายตาของนาง

อวิ๋นซูประหลาดใจ ความรู้สึกของบุรุษผู้นี้ว่องไวเฉียบคมเช่นนี้เชียว หากจะกล่าวว่ารังเกียจ มิสู้กล่าวว่านางรู้สึกกีดกันบุรุษที่มีหน้าตาโดดเด่นทุกคนจะดีกว่า

ไม่รอนางตอบ เฟิ่งหลิงก็ยกยิ้มที่น่าหลงใหล “แต่จะอย่างไร พวกเราจะได้เจอกันอีกในเร็ววันนี้”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น

หมอพิษชั่นหนึ่ง ตอนที่ 33 จับได้คาหนังคาเขา

  ยามเที่ยงวัน รถม้าหรูหราคันหนึ่งจอดอยู่หน้าประตูจวนโหว บุรุษผิวคล้ำคนหนึ่งลงจากรถม้าแล้ววิ่งเข้าไป เขาก้าวยาวๆ ไปตามระเบียง ตลอดทางข้ารั...