ตอนที่ 23 รัชทายาทได้รับบาดเจ็บ
ดวงหน้าอันน่ารักพลันก้มต่ำลง
พยายามยิ้มแย้มจนดูเก้ๆ กังๆ
ฮูหยินผู้เฒ่าจวนชางติ้งโหวถอนใจเบาๆ
วางถ้วยชาในมือลง “หลิงเอ๋อร์…”
เมื่อคิดจะเปิดปากพูด
เฟิ่งหลิงก็ก้าวไปข้างนอกหนึ่งก้าว “ท่านย่าเจ้าคะ
หลิงเอ๋อร์ถีบประตูผิดบานแล้วเจ้าค่ะ…”
เด็กคนนี้นี่
ยังไม่รู้อีกหรือว่าตนเองผิดที่ตรงไหน? ใบหน้าของฮูหยินผู้เฒ่าพลันมืดครึ้ม
เสียงเจือแววขบขันเสียงหนึ่งดังขึ้น “หลิงเอ๋อร์ทำผิดอีกแล้วหรือ?”
“พี่สาม!” เด็กหญิงตัวเล็กวิ่งเข้าไปอย่างออดอ้อน
คุณหนูเฟิ่งหลิงไม่สนใจท่านย่าที่กำลังมีโทสะ
พริบตาเดียวก็วิ่งเข้าไปฝังตัวเองกับร่างกายของคุณชายเฟิ่งหลิง
“อะแฮ่ม หลิงเอ๋อร์ยังไม่รีบลงมาอีก
พี่สามของเจ้าร่างกายยังไม่สู้ดีนัก!”
เป็นเช่นนั้นจริงๆ
คุณชายเฟิ่งหลิงไอออกมาอย่างแรง จูงดรุณีน้อยที่มุ่ยปากอยู่เข้าไปในห้อง
“หลิงเอ๋อร์ รีบดื่มชาเร็วเข้า…” ฮูหยินผู้เฒ่าตื่นตระหนกยิ่งนัก จ้องมองไปยังคุณหนูเฟิ่งหลิงด้วยสายตาเอาเรื่อง อีกฝ่ายรีบไปแอบข้างหลังพี่สามของนาง
“ยังไม่รีบมาช่วยคุณหนูเจ็ดเก็บของอีก
อีกสักครู่พานางไปพบพี่ใหญ่ของนางเสีย” ฮูหยินผู้เฒ่าสั่งแม่นมข้างกาย
ทว่าคุณหนูเจ็ดกลับจับมือคุณชายสามเฟิ่งหลิงแน่น “หลิงเอ๋อร์อยากอยู่กับพี่สาม…”
กล่าวได้ว่าทั่วทั้งจวนโหว
คนที่หลิงเอ๋อร์หวาดกลัวที่สุดก็คือฮูหยินผู้เฒ่าท่านนี้ เนื่องจากในสายตาของนาง
หากท่านย่าของตนเกิดบ่นขึ้นมา นางเดาได้เลยว่าหูของนางจะต้องอื้ออึงไปทั้งคืน
อีกทั้งแววตาของท่านย่าไม่ได้ร้ายกาจธรรมดาๆ แม้ท่านพ่อท่านแม่จะทำโทษนางไม่ลง
แต่หากยามที่ท่านย่ามีโทสะขึ้นมาจริงๆ
จะทำให้นางรู้ซึ้งถึงความร้ายกาจโดยไม่ลังเลแม้เพียงนิด!
“ท่านย่า เวลายังเช้านัก ให้หลานพานางไปเถิดขอรับ”
ดวงตาของคุณชายเฟิ่งหลิงเต็มไปด้วยความใจอ่อน
“แต่ร่างกายของเจ้า…”
“วันนี้รู้สึกดีขึ้นมากแล้วขอรับ
หลิงเอ๋อร์ก็จะช่วยดูแลข้าด้วย ใช่หรือไม่?” เขาขยิบตาให้ดรุณีน้อยข้างกาย
เฟิ่งหลิงพลันเข้าใจเจตนาของคุณชายสาม
กะพริบดวงตาอันน่ารักแล้วหันไปแย้มยิ้มประจบเอาใจให้ฮูหยินผู้เฒ่า “ท่านย่าเจ้าคะ
หลิงเอ๋อร์จะดูแลพี่สามเป็นอยางดีเจ้าค่ะ”
พูดแล้วก็ทั้งลากทั้งดึงคุณชายเฟิ่งหลิงออกไปข้างนอก
เมื่อต้องเจอกับหลานสาวเช่นนี้ ฮูหยินผู้เฒ่าทำได้เพียงทอดถอนใจอย่างอับจนหนทาง
ล้วนเป็นบุตรชายที่ลูกสะใภ้ตามใจจนเสียคนแล้ว
ส่วนหลานสาวผู้นี้ก็ฟังเพียงคำของพี่สามของนางเท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้
จะส่งเข้าวังหลังได้อีกหรือ? นางอาจนำพาปัญหามาให้ท่านโหวได้ทุกเมื่อ!
ฮูหยินผู้เฒ่าอดไม่ได้ที่จะกังวลใจขึ้นมา
ช่วงเวลาพักกลางวัน
ฮูหยินผู้เฒ่านอนพักไปแล้ว อวิ๋นซูจึงได้มีเวลาอิสระของตนเอง
วัดเทียนฝูแห่งนี้กลิ่นธูปมิเคยจางหาย ผู้คนที่มาไหว้พระขอพรมากมายจนนับไม่ไหว
ในพระอุโบสถมีเสียงเคาะมู่อวี๋ดังแว่วมา
ใบหน้าของทุกคนล้วนมีคำว่าเลื่อมใสศรัทธาเขียนแปะเอาไว้
เมื่อมองดูใบหน้าอันไม่คุ้นเคยของแต่ละคน
นางพลันรู้สึกว่าที่แห่งนี้มีคนหลายประเภท ท่าทางอันนิ่งสงบค่อยๆ ปรากฏแววโศกเศร้า
ทว่าเสียงเสียงหนึ่งดังแว่วเข้ามาในหูของนาง
ทำให้ทะเลสาบในจิตใจของนางก่อเกิดระลอกคลื่นขึ้นมา
“ขอให้สามีข้าได้เลื่อนตำแหน่งขุนนางสามขั้น
ขอให้เส้นทางขุนนางของเขาราบรื่น”
สตรีท่าทางสุภาพเยือกเย็นนางหนึ่งมองไปยังพระพุทธรูปอย่างแน่วแน่
อวิ๋นซูราวกับสามารถเห็นได้ถึงมุมปากที่ยกยิ้มอย่างพออกพอใจของนาง
ภาพนี้ดูซ้อนทับกับตนเองในสมัยก่อน ฮึๆ
เรื่องโง่งมพวกนี้นางก็เคยกระทำมาก่อนเช่นกัน
ขอให้เขาได้รับชัยชนะกลับมา
ขอให้เขาฝ่าฟันอันตรายไปได้ ขอให้เขาหายจากอาการบาดเจ็บ ทุกครั้งทุกครา
สิ่งที่ขอล้วนเป็นเขา อวิ๋นซูไม่เคยขอพรให้ตนเองแม้เพียงครั้งเดียว
จากนั้นพระพุทธก็สำแดงฤทธิ์
ให้เขาได้รับทุกสิ่งทุกอย่าง แต่กลับนำความทุกข์ทรมานทั้งปวงมาโยนใส่ร่างของนาง!
“เอ๊ะ! พี่ซูนี่นา!”
เฟิ่งหลิงที่อยู่นอกธรณีประตูเล็งเห็นสตรีที่ยืนอยู่ข้างโต๊ะสักการะ
ใบหน้าของนางพลันปรากฏแววยินดี ต้องการจะวิ่งเข้าไปแต่กลับถูกคุณชายเฟิ่งหลิงจับจูงไว้
เขามองใบหน้าด้านข้างของนาง
มีความไม่ยินยอมพร้อมใจและความโศกเศร้าปรากฏออกมาให้เห็นโดยไม่รู้ตัว
แววตาที่เต็มไปด้วยความเสียใจทำให้ผู้คนรู้สึกปวดใจยิ่งนัก พลันนั้น
ราวกับมองเห็นว่าเบื้องหลังความแข็งแกร่งของนางมีความอ่อนแอซุกซ่อนเอาไว้อย่างแนบเนียน
นางเป็นสตรีเช่นไรกันแน่ เขามักจะรู้สึกว่านางมีเรื่องราวมากมายเหลือเกิน
ทั้งๆ
ที่เป็นดรุณีน้อยแท้ๆ แต่เหตุใดจึงมีความลึกล้ำไม่สอดคล้องกับอายุถึงเพียงนี้?
เซียมซีในมือของนางแตกออก
อวิ๋นซูจึงเพิ่งได้สติกลับมา นี่ตนเป็นอะไรไปแล้ว เห็นได้ชัดว่าช่วงนี้ตนเองสามารถควบคุมความคับแค้นในใจได้เป็นอย่างดี
แต่กลับ…นางทอดถอนหายใจเบาๆ แล้วหันกายไป เห็นบุรุษและสตรีคู่หนึ่งอยู่บริเวณประตู
“พี่ซู!”
เฟิ่งหลิงยังอายุน้อยยังไม่ทราบว่าอารมณ์อันซับซ้อนนั้นเกิดจากสิ่งใด
นางโบกมืออย่างกระตือรือร้น ใบหน้าของอวิ๋นซูอบอุ่นขึ้นเล็กน้อย
ทันใดนั้นจึงค่อยสังเกตเห็นสายตาที่ดูต่างออกไปอีกคู่หนึ่ง
บุรุษรูปงามเป็นเอกผู้นั้น
กำลังใช้สายตาที่ยากจะอธิบายมองมายังตนเอง อาจเป็นความสงสารหรืออาจเป็นการสำรวจ
ทว่าสายตาเช่นนี้ทำให้ในใจของนางรู้สึกแปลกประหลาด
“คุณหนูเจ็ด” นางสูดหายใจเข้าลึกๆ
แล้วตอบไปอย่างสงบ
“พี่ซูเจ้าคะ นี่คือพี่สามของข้า
พี่สามของข้าเอง!” เฟิ่งหลิงแย้มยิ้ม
ดวงตาอันฉลาดเฉลียวทั้งยังน่ารักนั้นคู่นั้นกลายเป็นจันทร์เสี้ยว
เฟิ่งหลิงถูกนางก่อกวนเช่นนี้
ใบหน้าอันซีดขาวเล็กน้อยก็ปรากฏริ้วแดงบนแก้มอย่างมีพิรุธ เขาส่งยิ้มขอโทษไปให้อวิ๋นซู
“คุณหนูหก”
ไม่รอให้อวิ๋นซูตอบอะไร
มือคู่หนึ่งก็ยื่นออกมา “พี่ซู ไปชมวัดเทียนฝูกับพวกเรากันเถิด?!”
เด็กน้อยผู้นี้ไม่ทราบเลยว่าผู้อื่นเขาจะอยู่ที่นี่อีกสองวัน
จะตีสนิทเกินไปแล้ว! คุณชายเฟิ่งหลิงรู้สึกจนใจ เดิมทีคิดจะหยุดยั้งความเอะอะของนาง
ทว่าอวิ๋นซูสบดวงตาใสซื่อบริสุทธิ์คู่นั้น ในใจก็พลันขมขื่นกับดรุณีน้อยเช่นนี้
นางมิอาจปฏิเสธได้ จึงยิ้มออกมา “ได้”
คุณชายเฟิ่งหลิงประหลาดใจที่นางให้ท้ายน้องเจ็ดของตน
ยามนี้เขากำลังเก็บกักรอยยิ้มอันน่าประทับใจนั้นไว้ในสายตา ในใจราวกับอ่อนยวบลง
สายลมเย็นฉ่ำพัดมา นำพากลิ่นหอมของนางมาจางๆ
ชายหนุ่มพยายามควบคุมการหายใจของตนเองอย่างยิ่งยวด
อวิ๋นซูรู้สึกได้ถึงมือเล็กๆ
ที่กุมมือนางไว้ ไม่ทราบว่าดรุณีน้อยนางนี้เก็บซ่อนได้ดีเกินไป
หรือเป็นชางติ้งโหวที่ปกป้องนางได้ดีเกินไป
จึงได้เป็นมิตรกับคนที่เพิ่งพบหน้ากันครั้งสองครั้งเช่นนี้
หากว่าผู้อื่นมีจุดประสงค์แอบแฝงเล่า จะใสซื่อเกินไปแล้ว
“คุณหนูเจ็ด ของขวัญขอบคุณคราวก่อนล้ำค่ามากเกินไป
วันหน้าข้าจะให้สาวใช้ในจวนส่งกลับไปจะดีกว่า…” ทองพวกนั้น
หากเก็บเอาไว้ก็รู้สึกแปลกๆ
“ล้ำค่าไปงั้นหรือ? ข้าเพียงแค่เลือกผ้าดีๆ ไปหลายพับ เดิมทียังอยากจะเลือกของที่ข้าชอบส่งไปด้วย
แต่พี่สามไม่อนุญาต ที่เหลือก็ล้วนเป็นเขา…อ๊ะ!” เฟิ่งหลิงเจ็บแปลบ
เงยหน้ามองบุรุษข้างๆ อย่างกล่าวโทษ ใบหน้าของคุณชายเฟิ่งหลิงอึดอัดเล็กน้อย
เขามองเห็นถึงความสงสัยในสายตาของอวิ๋นซู
“…เอ่อ ถือเป็นค่ายารักษาแผลพวกนั้นเถิด”
ไม่ทราบว่าเหตุใด
เขาจึงรู้สึกว่าสตรีนางนี้ฉลาดยิ่งนัก ไม่ช้าก็เร็วจะต้องทราบเรื่องยาพวกนั้นแน่
ยามนี้อวิ๋นพลันเข้าใจกระจ่าง
ที่แท้ครอบครัวชั้นสูงที่เถ้าแก่ร้านยาพูดถึงก็คือจวนชางติ้งโหวนี่เอง
นึกย้อนไปถึงตอนที่เจอเขาครั้งแรก เขากำลังสนทนาอยู่กับหลงจู๊ แล้วยังเมื่อวานที่สู้กับหมาในสองตัวนั้น
จะอย่างไรก็ไม่เหมือนกับคุณชายสามที่เกิดมาป่วยออดๆ แอดๆ ดังที่ผู้คนพูดกัน
คนที่อยู่ตรงหน้าตนเองถึงกับไม่คิดปิดซ่อนเลยสักนิด
อวิ๋นซูมั่นใจแล้วว่าบางทีบุรุษผู้นี้มองออกว่าเป็นตนเองที่แต่งกายเป็นบุรุษเมื่อยามนั้น
“คุณหนูเจ็ดเจ้าคะ! ท่านอยู่นี่นี่เอง!
ฮูหยินผู้เฒ่ารีบเร่งใหญ่แล้ว รีบกลับไปผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าเถิดเจ้าค่ะ!”
แม่นมผู้หนึ่งเดินเข้ามาอย่างรีบร้อน คราวนี้เฟิ่งหลิงไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจ
กลับหันไปกำชับคุณชายเฟิ่งหลิงด้วยท่าทางจริงจังอย่างยิ่ง “พี่สาม
พี่ซูนี้ข้ามอบให้ท่านแล้ว!”
ท่าทางเคร่งขรึมจริงจังทำให้พวกเขาถึงกับต้องประหลาดใจ
“…”
เมื่อเงาร่างนั้นจากไป
ทั้งสองพลันอับจนคำพูด ยัยเด็กคนนี้นี่ช่างแก่แดดเสียจริง
พริบตาเดียวก็ทำให้บรรยากาศน่าอึดอัดขึ้นมา
“น้องเจ็ดนางไม่เข้าใจมารยาท
หวังว่าคุณหนูหกจะไม่ใส่ใจ” ชายหนุ่มเลือกจะกล่าวขึ้นก่อน
“คุณหนูเจ็ดไร้เดียงสา ทำให้ผู้คนอิจฉายิ่งนัก”
หากนางใสซื่อบริสุทธิ์เช่นนี้จริง
อวิ๋นซูก็หวังว่าเด็กคนนี้จะสามารถบริสุทธิ์อยู่ได้ตลอดไป
ส่วนตนเองนั้นคงไม่มีวันมีความสุขได้เฉกเช่นเดียวกับนาง “คุณชายสามเจ้าคะ
อวิ๋นซูต้องรีบไปดูสมุนไพร ขอตัวก่อนเจ้าค่ะ”
นางพยักหน้าน้อยๆ
แล้วค่อยเดินจากไป เฟิ่งหลิงแย้มยิ้มอย่างจนใจ นางสร้างกำแพงเช่นนี้กันทุกคนหรือ? ความจริง…ยังอยากจะพูดคุยกับนางมากๆ เสียหน่อย
…
“ฮ่าๆๆ คุณชายสี่ไปไหนเสียแล้ว? หรือจะยอมรับความพ่ายแพ้ รีบไปซื้อเหล้ามาแล้ว?” หลิ่วอวิ๋นเฟิงโยนพังพอนที่สิ้นใจไปแล้วตัวหนึ่ง
เฟิ่งอวี่จึงเพิ่งจะพบว่าน้องสี่ของตนไม่อยู่แล้ว
“ผู้ใดว่าข้ายอมแพ้!”
ไม่ทราบว่าเสียงนี้ดังขึ้นมาจากที่ใด จู่ๆ
เฟิ่งฉีก็ขี่ม้าทะยานออกจากต้นไม้เตี้ยแคระต้นหนึ่ง ใบหน้าของเขายกยิ้มเจ้าเล่ห์
ในมือถือกระต่ายป่าสามตัวเอาไว้ พริบตาเดียวก็โยนลงไปบนร่างพังพอนตัวนั้น
“สามตัว คงไม่แพ้หรอกกระมัง?” องค์รัชทายาทตงฟางซวี่ตกตะลึง
จากนั้นจึงหัวเราะฮ่าๆ ออกมา
“คุณชายสี่ฉลาดหลักแหลมจริงๆ!”
แรกเริ่มพวกเขากล่าวว่าผู้ใดล่าได้เยอะผู้นั้นนับว่าชนะ
ทั้งยังไม่ได้กำหนดว่าสัตว์ที่ล่ามาได้ต้องตัวใหญ่ ดังนั้น
ต่อให้ล่าเสือมาได้ตัวหนึ่ง ก็ยังแพ้กระต่ายป่าสามตัว
ณ
ชั่วขณะนี้เอง ป่าด้านหลังมีการเคลื่อนไหวเกิดขึ้น
กิ่งไม้ที่หนาแน่นทำให้ทั้งสี่มองไม่ชัดเจนว่าเป็นสัตว์อะไร
ตงฟางซวี่เลิกคิ้วเล็กน้อย ถือโอกาสตอนที่พวกเขายังไม่ทันได้ตั้งตัวสะบัดบังเหียนออกไป
“ย่ะ!”
“ข้าเองก็ยอมแพ้ไม่ได้แล้ว ฝ่าบาท
รอดูข้าไล่ตามท่านเถิด!” เฟิ่งอวี่รีบไล่ตามไปติดๆ
เสียงนั้นเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ
เบื้องหน้าเป็นกำไม้เถากอหนึ่ง
สามารถเห็นร่างกายที่เคลื่อนไหวอยู่ฝั่งตรงข้ามได้อย่างเลือนราง
เป็นสัตว์ตัวใหญ่ตัวหนึ่งเลยทีเดียว!
เลือดอันร้อนรุ่มของตงฟางซวี่แล่นพล่าน
ดูแล้วการล่าสัตว์ครั้งนี้คงมิกลับไปมือเปล่าแล้ว!
“ฮี้” ม้ากระโดดขึ้น พุ่งทำลายไม้เถากอนั้น
ใบไม้ปลิวกระจัดกระจาย ทว่า ณ ชั่วเวลานี้ สายตาของรัชทายาทพลันตกตะลึง
เบื้องหน้าเป็นหมีน้ำตาลตัวเขื่อง
ภายใต้กรงเล็บของมันมีสุนัขจิ้งจอกป่าหายใจรวยระรินเขี้ยวอันแหลมคมเต็มไปด้วยเลือด
สัตว์ป่าดุร้ายตัวนี้อยู่ห่างจากตงฟางซวี่ไม่ถึงห้าก้าว
เมื่อได้ยินเสียงมันก็หันมาอย่างโมโหร้าย ดวงตาเต็มไปด้วยความกระหายเลือด
“โฮก…”
หมีน้ำตาลที่ถูกรบกวนเวลาอาหารพลันโกรธขึ้นมา
ปฏิกิริยาของมันว่องไวยิ่งนัก
กรงเล็บแหลมคมที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวตะปบมายังรัชทายาท
ตงฟางซวี่ไม่คิดว่าหมีน้ำตาลตัวนั้นจะโจมตีมาอย่างกะทันหันเช่นนี้
ม้าที่อยู่ใต้ร่างก็ตกใจจนหลบไม่ทัน คอม้าถูกโจมตีอย่างแม่นยำ
ตงฟางซวี่ล้มลงไปที่พื้นพร้อมกับม้าอย่างรุนแรง
บุรุษทั้งสามที่ไล่ตามมาติดๆ
ไม่อยากจะเชื่อสายตาตนเอง หมีน้ำตาลตัวนั้นทำท่าทางเตรียมจะตะปบไปยังบุรุษที่พื้น
“ฝ่าบาท!”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น
หมายเหตุ: มีเพียงสมาชิกของบล็อกนี้เท่านั้นที่สามารถแสดงความคิดเห็น